อยากเปิดร้านขายเครื่องสำอาง สำรวจตัวเองคุณพร้อมแค่ไหน ?
ขายเครื่องสำอาง อาชีพในฝันของสาวๆในยุคที่ความงามมาเหนือกาลเวลา และไม่ว่าเศรษฐกิจจะถดทอย ค่าครองชีพจะสูงปรี๊ดสักแค่ไหน แต่สินค้าเครื่องสำอางก็ยังคงความอมตะขายได้ตลอดกาล เพื่อความงามที่ผู้หญิงอย่างเราคู่ควร เธอก็ยินดีควักกระเป๋าจ่าย หากว่าเป็นสินค้าที่คุณภาพดีจริง ถึงแม้จะราคาแพงก็ตามที หลายคนถึงขั้นสะสมเป็นคอลเลคชั่นกันเลยก็มี แบรนด์ไหนเด็ดแบรนด์ไหนที่เขาว่าใช้ดี ก็เสาะแสวงหากันไป “ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง”
และเมื่อเป็นเช่นนี้ สาวๆจึงหันมาขายเครื่องสำอางกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็ทำเป็นอาชีพเสริม บางคนก็ยึดเป็นอาชีพหลักเลี้ยงชีพกันเลยทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จไปเสียหมดในทันที หลายคนล้มแล้วล้มอีก ลองแล้วลองอีกจนกว่าจะเป็นที่รู้จักและมีลูกค้าจำนวน หากอยากเปิดร้านขายเครื่องสำอางไม่ใช่แค่เพียงสักแต่ว่าเงินทุนพร้อมก็เริ่มลงทุนได้ โดยไม่มีการศึกษารายละเอียดต่างๆก่อน ไม่เช่นนั้นคุณอาจล้มไม่เป็นท่าได้ “สำรวจตัวเองสักนิด ฉุกคิดสักหน่อย เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน” เรามาสำรวจ พร้อมตอบคำถามตัวเองไปพร้อมๆกันเลยคะ
คุณรู้จักเครื่องสำอางดีแค่ไหน?
เครื่องสำอางแต่ละชนิดแต่ละแบรนด์จะมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน คุณต้องรู้จักเครื่องสำอางที่คุณจะขายให้ดีเสียก่อน ไม่ว่าจะประเภทของเครื่องสำอาง คุณสมบัติ จุดเด่น จุดด้อย สินค้าขายดี ส่วนประกอบหลัก เหมาะสมกับสภาพผิวแบบใด รวมถึงวิธีใช้ หลายคนอาจมองว่า “ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนั้น วางๆไปลูกค้าอยากได้อันไหนเค้าก็หยิบเองได้!! นั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่เราต้องไม่ลืมว่าใช่ทุกคนจะใช้แบรนด์เดิมอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็อยากเปลี่ยนมาใช้แบรนด์อื่นดูบ้างและในเมื่อยังไม่เคยได้ลองใช้ แน่นอนว่าความลังเลที่จะซื้อย่อมมีสูง จะดีกว่าไหม? ถ้าคุณสามารถแนะนำเขาเหล่านั้นได้ และถ้าคุณเป็นคนพูดเก่ง ขายเก่ง เขาเหล่านั้นอาจกลายเป็นลูกค้ารายใหม่ของคุณไปเลยก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักเครื่องสำอางถึงขั้นปลีกย่อยจนเกินไป ถึงขนาดกล่องผลิตที่ไหน ส่วนผสมอัตราส่วนเท่าไร !! จริงๆแล้วสิ่งที่ลูกค้าอยากรู้ก็มีอยู่กี่อย่าง อาทิเช่น ราคา, สินค้าขายดี,สินค้ามาใหม่,เหมาะกับสภาพผิวแบบไหน เป็นต้น
เงินทุนและการวางแผน
หากคุณเป็นคนที่โชคดีที่สนใจเครื่องสำอางมาแต่ไหนแต่ไร ศึกษารายละเอียดมาอย่างถี่ถ้วน รู้จักทุกซอกทุกมุมของสินค้าสินเครื่องสำอางที่อยากจะขายเป็นอย่างดี ก็ถือว่าคุณเข้าใกล้ความจริงที่อยากเปิดร้านขายเครื่องสำอางขึ้นมาอีกเปราะหนึ่ง ข้ามมามองในเรื่องของเงินทุน ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าจะเปิดร้านขนาดไหน? “ ร้านเล็กๆ แผงลอย หรือแบบแบกับดิน แฟรนไชส์หรือแบบช็อปขนาดใหญ่ ขายอยู่บ้านหรือแบบออนไลน์” เพื่อที่ว่าจะได้คำนวณเงินลงทุนได้ถูกต้องเหมาะสม เมื่อได้รูปแบบการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ก็วางแผนการใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน คือ 1เงินทุน 2เงินสำรอง และ3เงินออม ทั้งสามอย่างนี้สำคัญมากจะต้องรู้จักหมุนเวียนเงินให้เป็นระบบจะได้รู้ว่าลงทุนไปเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ และเหลือเก็บเท่าไหร่ เท่านี้ระบบการใช้จ่ายเงินของคุณก็ไม่มีปัญหา คิดจะขยายต่อเติมร้านเมื่อไหร่ก็มีเงินสำรองไว้คอยหมุนเวียน
สินค้า
สินค้าเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันเป็นพิเศษ เพราะเป็นสินค้าที่ใช้กับอวัยวะของร่างกายแน่นอนว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน เลือกสินค้ามาขายก็ต้องแน่ใจว่ามีมาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบจากสถาบันและหน่วยงานของรัฐ เช่น อย. (โองการอาหารและยา) หากเป็นสินค้าเครื่องสำอางแบรนด์เนม แบรนด์ดัง เสียภาษี นำเข้าถูกต้อง ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้าหากเป็นสินค้าที่เป็นประเภทสั่งโรงงานผลิต ต้องแน่ใจว่าเป็นโรงงานที่ได้รับมาตรฐานและสินค้านั้นผ่านการจดทะเบียน อย. ถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและความสบายใจของร้านค้าเองด้วย
การให้บริการ
เมื่อมีลูกค้าเข้าร้าน ก็ควรต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แนะสินค้าอย่างเป็นกันเอง เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ซื้อก็ตาม สาวๆส่วนใหญ่มักจะเข้าไปเดินสำรวจราคาและสินค้าหลายๆร้านก่อนตัดสินใจซื้อเสมอ ดังนั้นควรบริการอย่างเต็มที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้า ครั้งนี้เขาอาจจะไม่ซื้อแต่ครั้งต่อไปเขาอาจจะกลับมาซื้อและแนะนำร้านให้คนอื่นๆรู้จักด้วยก็เป็นได้
สินค้าที่วางขายต้องเป็นสินค้าที่สมบรูณ์ หมายถึง บรรจุภัณฑ์ไม่แตก ร้าว บุบ หรือสกปรก รวมทั้งต้องไม่นำสินค้าเก่ามาวางขาย เพราะถ้าหากนำสินค้าไม่มีคุณภาพ ชำรุด แตกหัก มาขาย นั่นหมายถึงร้านขายเครื่องสำอางของคุณไม่มีคุณภาพไปด้วย
ราคาขายสินค้าเครื่องสำอางต้องเป็นไปตามกลไกการตลาด ไม่เอาเปรียบลูกค้า ค้ากำไรเกินควร เอาเป็นว่าตั้งราคาที่ลูกค้าซื้อไหวและร้านค้าอยู่ได้ การค้าขายแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า วินๆทั้งคู่
รู้จักแก้ปัญหาและรับมือกับลูกค้า
ลูกค้าบางรายเรื่องเยอะ จุกจิกจู้จี้ ถามซอกแซก หลายอารมณ์ คนขายที่ดีต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองและรับมือกับสถานการณ์ต่างๆให้ได้ เพราะบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เราอาจเผลอหยิบสินค้าผิดให้ลูกค้า คิดราคาผิด หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นความผิดของลูกค้าเอง แต่เราก็ต้องมีการเตรียมพร้อมและมีแผนรับมือแก้ไขกับข้อผิดพลาดนั้นๆให้ได้
โปรโมชั่นและบริการหลังการขาย
ควรมีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายบ้าง “ลด แลก แจก แถม” บ้าง เป็นการคืนกำไรให้ลูกค้า เร่งยอดขายด้วยการจูงใจด้วยส่วนลดต่างๆ เช่น ซื้อครบ 2,000 บาท รับส่วนลด 20 เปอร์เซ็น หากเป็นลูกค้าที่สั่งซื้อออนไลน์ อาจจะบริการส่งฟรีให้เมื่อสั่งครบตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น บริการหลังการขาย อาจจะเป็นการมอบคูปองซื้อเครื่องสำอางในร้านทุกๆ 3 เดือน หรือสมาชิกของร้านรับส่วนลด 5 เปอร์เซ็นเมื่อซื้อครั้งถัดไป เป็นต้น
หมายเหตุ : รูปภาพที่ใช้เป็นเพียงสื่อประกอบบทความเท่านั้น