ขายรถมือสอง แฟรนไชส์ “กัลลิเวอร์”
ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นเจาะตลาดรถมือสองไทย
ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคนั้นต่างกัน บางคนมีเงินมาก สามารถซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการได้อย่างสบาย สวนบางคนมีรายได้แค่พอประมาณเท่านั้น การเลือกซื้อสินค้าชนิดหนึ่งจึงต้องใช้การพิจารณาประโยชน์ที่จะได้รับอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพงอย่างรถยนต์ การซื้อรถยนต์มือหนึ่งเลยนั้น อาจมีราคาสูงเกินไป ผู้บริโภคจึงนิยมการซื้อรถยนต์มือสองกันมากขึ้น แม้ในขณะนี้ตลาดขายรถมือสองจะซบเซา เนื่องจากผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลและเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก แต่ตลาดขายรถมือสองของไทยในระยะยาวนั้นมีแนวโน้มการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนการเป็นเจ้าของรถของภาคครัวเรือนได้เพิ่มมากขึ้นทุกปี
จากปัจจัยนี้ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อายุการก่อตั้งนานกว่า 20 ปีอย่าง “กัลลิเวอร์ (Gulliver)” แฟรนไชส์ขายรถมือสองจากประเทศญี่ปุ่นได้ทำการร่วมทุน (Joint Venture) กับธุรกิจไทย “วี-กรุ๊ป” ผู้ดำเนินธุรกิจขายสินค้าเกี่ยวกับรถยนต์ ซ่อมสี ขนส่ง และเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายยี่ห้อ จัดตั้ง “บริษัท วี-กัลลิเวอร์ จำกัด” ในปีพ.ศ.2556 โดยทางวีกรุ๊ปถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มกัลลิเวอร์อินเตอร์เนชั่นแนลถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์
จุดเริ่มต้นของการขยายตลาดการขายรถมือสองเกิดจากกลุ่มกัลลิเวอร์ได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจภายในประเทศญี่ปุ่นแล้วจึงต้องการขยายแฟรนไชส์ไปประเทศอื่น ซึ่งได้เลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรก จึงได้ทำการศึกษาตลาดขายรถมือสองของไทย พบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม ได้แก่
- ธุรกิจขายรถมือสองของค่ายรถยนต์ต่างๆ มีจุดเด่นที่ความน่าเชื่อถือ จุดด้อยคือ รถมือสองที่ขายมักมีแต่ของค่ายตนเอง
- เต็นท์ขายรถมือสองทั่วไป จุดเด่นคือ มียี่ห้อรถให้เลือกหลากหลาย สามารถต่อรองราคาได้ แต่มีจุดด้อย คือ ไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือมากนัก
จากข้อสังเกตนี้ทำให้บริษัทเจาะตลาดระหว่างกลางของกลุ่มผู้ขายรถมือสองทั้งสองกลุ่ม โดยอาศัยความน่าเชื่อถือจากชื่อเสียงที่โด่งดังในประเทศญี่ปุ่น มีการเสนอราคาที่เป็นธรรม และไม่มีข้อจำกัดเรื่องค่ายรถ สามารถจำหน่ายได้หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยมีเป้าหมายที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่สนใจในการขายรถมือสอง และกลุ่มผู้ประกอบการที่มีธุรกิจอยู่แล้วซึ่งกลุ่มหลังจะมีความพร้อมในระดับหนึ่ง แบรนด์กัลลิเวอร์จะช่วยทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
สำหรับรูปแบบแฟรนไชส์ของกัลลิเวอร์จะยึดตามโมเดลบริษัทแม่ คือระบบ PSA (Purchase and Sales Assessment System) เป็นระบบเก็บข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ที่มีการวบรวมข้อมูลราคาซื้อขายรถมือสองจากทุกกลุ่มไว้ด้วยกัน แล้วนำมาทำเป็นระบบฐานข้อมูลออนไลน์ ซึ่งจะทำให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ขายมีราคากลาง มีความเป็นธรรม สร้างความเชื่อมันต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ขาย ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของแฟรนไชส์คือ แต่ละสาขาสามารถแลกเปลี่ยนรถในคลังสินค้าระหว่างกันได้ ทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายมีสินค้าที่หลากหลาย และสามารถเพิ่มโอกาสได้มากขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมลงทุนกับแฟรนไชส์ต้องเตรียมเงินลงทุนแฟรนไชส์รวมทั้งสิ้น 25 ล้านบาท สามารถแจกแจงรายละเอียดได้ดังนี้
- เงินจำนวน 10 ล้านบาท สำหรับค่าก่อสร้างและค่าสถานที่ตั้งแฟรนไชส์บนเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่
- ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Franchise Fee) 2.8 ล้านบาท
- ค่าสิทธิต่อเนื่อง (Royalty Fee) เดือนละ 300,000 บาท
- ค่าระบบคอมพิวเตอร์ 30,000 บาท
- ส่วนที่เหลือ สำหรับการจัดซื้อรถและสต๊อกรถ โดยรับซื้อจากลูกค้าที่นำมาขายหน้าร้าน และทางบริษัทแม่จะมีการประมูลรถราคาพิเศษแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
รายได้ของแฟรนไชส์มาจากส่วนต่างของราคาจากการรับซื้อและขายรถออกไป เฉลี่ยประมาณหลักหมื่นบาทต่อหนึ่งคัน ยอดขายที่ควรได้คือ 30-50 คันต่อเดือน จะทำให้สามารถคืนทุนได้ในระยะเวลา 3 ปี และผู้ซื้อแฟรนไชส์ยังได้รับสิทธิประโยชน์จากบริษัทแม่ โดยมีระบบการสนับสนุน เช่น การฝึกอบรมก่อนการเริมธุรกิจ การส่งเสริมการตลาด เป็นต้น
ข้อมูลติดต่อขายรถมือสองแฟรนไชส์กัลลิเวอร์
ที่อยู่ : 100/48 อาคารว่องวานิช ตึกบี ชั้น 18 ถนนพระราม9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
เว็ปไซต์ : http://www.gulliver.co.th
เบอร์โทรศัพท์ : 098-2761454
หมายเหตุ รูปภาพที่ใช้เป็นเพียงสื่อประกอบบทความเท่านั้น