ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า Disrupt หนาหูขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจุดเริ่มมันมาจากธุรกิจ Start-Up ของเด็กรุ่นใหม่ ที่ใช้จุดนี้แหละหาช่องโหว่ของตลาด แล้วเปลี่ยนจุดนั้นเป็นโอกาสแจ้งเกิดของธุรกิจ Start-Up ลองดูอย่างธุรกิจแท๊กซี่ที่โดน Disrupt ไปเรียบร้อยด้วย Uber และ Grab ..เพราะอาศัยช่องที่ลูกค้ากับแท๊กซี่ไม่โดนกัน แท๊กซี่ชอบปฏิเสธลูกค้า Start-Up ก็ตี Pain Point อันนี้เป็นโอกาสธุรกิจได้ทันที ถ้าโอกาสนั้นไม่มีรายใหญ่ครองตลาดอยู่ ยิ่งเกิดง่าย เพราะอย่างแท๊กซี่เห็นชัดๆ ว่า ไม่มีรายใหญ่ ..มันต่างกับ ตลาดเช่น ค้าปลีก หรือธุรกิจที่รายใหญ่ครองอันนั้นก็จะเกิดยากขึ้นเป็นทวีคูณมาดูกันว่าธุรกิจไหนต้องเตรียมปรับตัว
1. ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์เยอะๆ – อนาคตมันจะมีการเช่ามาทดแทน การซื้อและลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้ธุรกิจในอนาคตเริ่มง่ายเพราะทุนเริ่มต่ำ แต่เกิดและโตยาก เพราะคู่แข่งเขาก็เริ่มง่ายเหมือนกัน เป็น Low-Barrier to Entry Business
2. ธุรกิจที่พนักงานเยอะๆ – อนาคตธุรกิจจะจ้างคนลดลง แต่ Outsource งานไปให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านทำ เหลือเพียงจุดแข็งที่สุดของธุรกิจ ..เป็น Business LEGO Model ‘ทุกธุรกิจเหมือนตัวต่อ LEGO ที่เชื่อมต่อกัน เปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนอย่างยืดหยุ่น รวดเร็ว’
3. ธุรกิจที่มี Fix Cost เยอะๆ – จะเปลี่ยนเป็น Variable Cost ต้นทุนผันแปลตามงานที่เข้ามาแทน
4. ธุรกิจที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่จะพังลง – ธุรกิจในอนาคตจะทำงานแบบเครือข่าย ทำงานเป็นทีมขนาดเล็ก แถมเป็น Performance Base ‘จ่ายตามผลงานจริงๆ’
5. Cloud Base – ธุรกิจในอนาคตจะใช้ระบบ Cloud เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกิจ ดังนั้น Online จะมาแทนหน้าร้านในฐานะ จุดติดต่อหลัก ..ส่วนร้านจริงๆ จะเป็นแค่ส่วนเสริม หรือเป็นแค่ Luxury ‘หน้าร้านในอนาคต จะเป็นแค่สิ่งฟุ่มเฟือย เพื่อส่งเสริมการตลาดที่ใช้เพียงธุรกิจบางประเภทเท่านั้น เช่น Luxury Brand’
‘เตรียมให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง’
ขอบคุณข้อความจากแฟนเพจ https://www.facebook.com/profile.php?id=100000628223473