หลักการเลือก “เคาน์เตอร์ขายของ”ในร้านขายของชำ อย่างไรให้คุ้มค่า!

ร้านขายของชำปัจจุบันก็ยังคงมีความสำคัญและเป็นแหล่งในการซื้อของ จับจ่ายใช้สอย ของคนในชุมชน หมู่บ้านตามต่างจังหวัด ถือว่ายังมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ การสั่งแบบดิลิเวอรี่ นั่นก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังพึงพอใจกับการซื้อของแล้วได้ของทันที หรือเป็นแค่ของเล็กๆน้อยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปห้างฯ ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งถ้าในต่างจังหวัดนั้น “ร้านสะดวกซื้ออยู่ไกลบ้าน ประชาชนคงซื้อไม่สะดวก” นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ร้านขายของชำในชุมชน หมู่บ้าน จึงยังคงได้รับความนิยมอยู่ แต่ถึงจะนิยมแต่ถ้าไม่พัฒนาหรือก้าวทันเทคโนโลยีก็คงจะค่อยๆหมดความนิยมลงตามกาลเวลาเช่น ดังนั้นสิ่งไหนที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาได้ ร้านขายของชำหรือร้านโชว์ห่วยก็ควรที่ปรับ 

เช่นเดียวกับการเลือกเคาน์เตอร์ขายของในร้านขายของชำ เคาน์เตอร์จัดว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถตกแต่งร้านและใช้งานอเนกประสงค์ มีส่วนช่วยในการอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนขายหรือเจ้าของร้าน ไม่ว่าจะเป็นการคิดเงิน ทอนเงินให้ลูกค้า ใช้เป็นที่วางของระหว่างคิดเงินสำหรับลูกค้า หรือสามารถใช้เป็นพื้นที่ประชาสัมพันธ์ส่วนตัว เมื่อลูกค้าต้องการสอบถามหรือหาสินค้าไม่เจอก็จะเดินมาถามที่เคาน์เตอร์นั่นเอง ฉะนั้นการเลือกเคาน์ที่ดีจะทำให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และคุ้มกับราคาที่ต้องจ่ายไป 

หลักการเลือกเคาน์เตอร์ ขายของชำ

ขนาด

ขนาดของเคาน์มีความสำคัญ เพราะจะต้องสัมพันธ์กับพื้นที่หรือขนาดของร้าน เคาน์เตอร์ที่มีขนาดใหญ่เกินไปจะกินพื้นที่ส่วนอื่น ทำให้พื้นที่ใช้สอยในร้านนั้นลดลง นอกจากนี้ยังขนย้ายลำบากเพราะมีขนาดที่ใหญ่เทอะทะ เวลาจะปรับเปลี่ยนมุมนในร้านก็ทำได้ค่อยข้างยาก นอกจากนี้ยังกีดขวางทางเดินไปมาของลูกค้า ลูกค้าเดินเลือกของได้ไม่สะดวก ส่วนเคาน์เตอร์ที่ขนาดเล็กเกินไปก็จะจัดเก็บของจำเป็นได้ไม่ครบครัน ลูกค้าวางของเพื่อจ่ายเงินไม่ได้ 

ความแข็งแรง

เนื่องจากเคาน์เตอร์นั้นใช้งานระยะยาว ดังนั้นการเลือกซื้อเคาน์เตอร์ขายของ จึงจำเป็นจะต้องพิจารณาดูที่ความแข็งแรงร่วมด้วย นอกเหนือจากเรื่องของราคา เพราะสินค้าบางอย่างอาจจำเป็นจะต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้นมาหน่อยเพื่อแลกกับความคุ้มค่าในระยะยาว 

วัสดุที่ใช้

เมื่อพิจารณาในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน ก็ต้องดูที่วัสดุที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตเป็นหลัก สมัยก่อนนั้นเราจะพบว่าเคาน์เตอร์นั้นทำมาจากไม้หรือไม้อัด ไม่สังเคราะห์ ซึ่งมีความแข็งแรงพอสมควร แต่ในระยะยาวยังถือว่ามีความทนทานน้อย หากเมื่อโดนความชื้นหรือแค่โดนน้ำเปล่าบ่อยๆเข้า อายุการใช้งานก็น้อยลงไปอีก นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอับ เชื้อราที่อาจตามมาอีกด้วย ปัจจุบันวัสดุสำหรับผลิตเคาน์เตอร์ผู้บริโภคหันมานิยมใช้ เคาน์เตอร์ที่ผลิตมาจากเมลานีน เนื่องจากมีความแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ทนทาน และที่สำคัญมีความสวยงาม และมีรูปทรงที่ดูทันสมัย นอกจากจะวางเป็นของใช้ในร้านแล้วเคาน์เตอร์ยังกลายเป็นของตกแต่งร้านได้ด้วย 

ความสูงของเคาน์เตอร์

เคาน์เตอร์ขายของความสูงระยะมาตรฐานอยู่ที่ 85 – 110 เซนติเมตร แต่สามารถเลือกให้เข้ากับการใช้งานได้ เนื่องจากเคาน์เตอร์นั้นมีหลายขนาด ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ เคาน์เตอร์แบบเดี่ยว เคาน์เตอร์แบบคู่ เป็นต้น ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้เหมาะกับการใช้งานและขนาดของพื้นที่ร้านร่วมด้วย 

พื้นที่ใช้สอย

โดยทั่วไปแล้วเคาน์เตอร์ขายของนั้นจะมีพื้นที่ให้ลูกค้าสามารถวางของสำหรับชำระสินค้า ซึ่งก็ือความกว้างของเคาน์เตอร์นั่นเอง ผู้ประกอบการควรพิจารณาดูเคาน์เตอร์ให้มีขนาดความกว้างที่สามารถวางสินค้าได้หรือสามารถวางตะกร้าช็อปปิ้งได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ความกว้างมากมายจนดูเกะกะ 

ช่องเก็บของ

สิ่งสำคัญที่ขาดเสียมิได้สำหรับเคาน์เตอร์ขายของ นั่นก็คือช่องเก็บของหรือลิ้นชักไว้ใช้งานอเนกประสงค์ เช่น ลิ้นชักเก็บเงิน ช่องเก็บของใช้ส่วนตัว เก็บสินค้าเล็กๆน้อยๆอย่างถุงพลาติก หลอดพลาสติก ช้อนพลาสติก หรือสิ่งของอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าอื่นๆ โดยไม่ต้องเดินไปหยิบในสต็อกสินค้าบ่อยๆ 

สีของเคาน์เตอร์ 

สีของเคาน์เตอร์นอกจากเรื่องของความสวยงามและ ยังเกี่ยวข้องในเรื่องของเงินๆทองๆอีกด้วย สำหรับผู้ประกอบการที่เน้นเรื่องสีมงคล ก็จะพิจารณาเลือกสีที่ส่งเสริมในด้านการเงินด้วย เช่น สีฟ้า สีม่วง เป็นต้น แต่บางครั้งสีที่ถูกโฉลกนั้นก็อาจไม่เข้ากับสีของร้าน ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหา คือให้ผู้ประกอบการ เลือกที่อ่อนลง จะเป็นสีพาสเทลก็ได้เช่นกัน นอกจากจะได้สบายใจในการสิ่งมงคลแล้ว ยังทำให้วางอยู่ในร้านแล้วไม่ขัด สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้เน้นสิริมงคลอะไรมากนัก ก็ให้พิจารณาสีเคาน์เตอร์ที่เข้ากับร้าน หรือสีโทนเดียวกันกับร้าน เพื่อให้ดูกลมกลืนกัน

ตกแต่งเคาน์เตอร์

จริงๆแล้วเคาน์เตอร์ไม่ควรประดับตกแต่งอะไรให้ดูรกรุงรัง เพียงแค่อาจจะมีชั้นวางสิ้นค้าแนะนำ หรือสินค้ามาใหม่เล็กๆวางไว้ เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าใหม่ๆ

ตำแหน่งวางเคาน์เตอร์

เป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นเหมือนการวางแปลนหรือแผนผังในร้าน ตำแหน่งที่วางเคาร์เตอร์จะต้องสามารถมองเห็นพื้นที่รอบๆบริเวณร้านได้โดยง่าย ไม่อยู่ในมุมอับ เพื่อที่จะได้สามารถมองเห็นลูกค้าเข้าและออกร้านได้ตลอดเวลา จะได้คอยบริการได้ทันที และป้องกันสิ่งที่ไม่อาจคาดคิด เช่น การลักขโมยของในร้าน ตรงบริเวณมุมอับของร้าน เพราะร้านขายของชำนั้นไม่ใช่ทุกร้านที่จะติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ 

เทคนิคการขายเพิ่มเติม 

  • นำสินค้าขายดี สินค้าแนะนำ สินค้ามาใหม่ มาวางไว้บนเคาน์เตอร์เพื่อเป็นการส่งเสริมการขาย เมื่อลูกค้าได้เห็นท่านที่สนใจก็จะสอบถาม เป็นโอกาสให้สามารถเชียร์ขายเพิ่มเติมและปิดการขายได้ทันทีเมื่อลูกค้าคิดเงิน
  • จัดโปรโมชั่น นำสินค้าที่กำลังอยู่ในโปรโมชั่น เช่น 1แถม1 สินค้าลดราคา 50% เป็นต้น มาวางเพื่อกระตุ้นความสนใจของลูกค้า โดยทั่วไปแล้วร้านขายของชำก็ไม่ค่อยมีสินค้ามาจัดโปรโมชั่น แต่ให้ผู้ประกอบการเลือกสินค้าจากสต็อกที่ใกล้จะหมดอายุ 1 – 2 เดือน มาจัดรายการลดราคา เพื่อระบายสินค้าออกและคืนทุนสินค้ากลับมาบ้าง ดีกว่าปล่อยให้สินค้าหมดอายุและต้องทิ้งไป
  • ชำระเงินออนไลน์ สิ่งที่จะทำให้ร้านขายของชำหรือร้านโชว์ห่วย ก้าวสู้ร้านขายของชำแบบโมเดิร์นมากขึ้นนั่นก็คือการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมด้วย ช่องการชำระเงินออนไลน์จึงเป็นสิ่งแรกๆที่ร้านขายของชำสามารถเสริมเข้าไปได้ โดยอาจจะจัดทำป้ายหรือสติกเกอร์แปะไว้ในส่วนที่ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จะเป็นคิวอาร์โค้ดหรือเป็นข้อมูลบัญชีโอนเงินก็ได้ 
  • แบ่งขาย สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ร้านขายของชำนั้นยังคงอยู่ในหัวใจของผู้บริโภคอย่างเหนียวแน่น นั่นก็เพราะราคาที่เข้าถึงได้ สามารถแบ่งขายสินค้าได้ ลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อห่อใหญ่ กล่องใหญ่ ขวดใหญ่ เพราะร้านขายของชำนั้นจะแบ่งขายในราคาย่อมเยา งบน้อยก็ซื้อได้ 5 บาท 10 บาทก็ซื้อได้ แต่หากเป็นร้านสะดวกซื้อ เราจะซื้อน้ำตาลทรายสัก 10 บาท เขาก็คงไม่ขายให้เหมือนร้านขายของชำ ดังนั้นจึง
  • บริการด้วยความเต็มใจ นอกจากจากสิ่งอื่นใดทั้งปวงแล้ว สิ่งที่จะมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัดได้นั่นก็อยู่ที่ตัวของคนขายหรือเจ้าของร้านเองด้วย อัธยาศัยและน้ำใจไม่ตรี การยิ้มแย้มแจ่มใส จะยิ่งสร้างฐานลูกค้าที่ภักดิ์ดีเอาไว้ให้ร้านของคุณอย่างเหนียวแน่น 
แสดงความคิดเห็น